เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ธ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม วันพระเราทำมาบุญกุศลกัน มนุษย์มันมีหัวใจ มนุษย์มีคุณสมบัติอย่างนี้ มนุษย์มีสิทธิเลือกได้สิ่งที่ดีและชั่ว สัตว์นะมันเลือกไม่ได้ ในพระไตรปิฎกนะ เวลามันจะตายมันไปเข้านิมิตครูบาอาจารย์ บอกว่าเกิดเป็นสัตว์นี่ทุกข์มาก ต้องคอยเอาใจเขา เพราะสัตว์มันก็รู้นะ สัตว์นี่มันรู้ประสาคน

รู้ประสาคนคือความรู้สึกไง มันจะเอาใจเรา มันจะประจบประแจงเราเพื่อความปลอดภัยของเขา แต่ถึงที่สุดแล้วมนุษย์ก็ฆ่า เห็นไหม แล้วมาเข้านิมิตเลยนี่ เกิดเป็นมนุษย์มันมีกฎหมาย มีสิ่งที่ว่าฆ่าแกงกันไม่ได้มันผิดกฎหมาย แต่เป็นสัตว์เวลาฆ่าไปแล้วมันไม่มีกฎหมายคุ้มครอง นี่เขาเกิดเป็นสัตว์นะ เขามีทุกข์มียากกัน

เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีหัวใจ เรามีความรู้สึก เรามีสมอง เรามีความคิด สมองกับความคิดนี่ใช้ให้มันเป็นประโยชน์นะ ถ้าใช้ไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ดูนี่เม็ดข้าวเม็ดหนึ่ง เวลามันตกไปในนามันยังงอกขึ้นมา มันมีราก มีต้น แล้วก็มีเมล็ดของมัน มีผลของมัน มนุษย์ก็เหมือนกัน เวลาเกิดนี่ เม็ดข้าวมันเป็นพืชพันธุ์นะ ดูสิอย่างพวกพืชเขาต้องมีเมล็ด มีต่างๆ เพื่อต่อกิ่งต่อก้านมา มันถึงดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน

เวลาเราเกิด เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เห็นไหม เราไม่เห็นเมล็ดพันธุ์ของเรานะ เราไม่เห็นปฏิสนธิวิญญาณของเรา เราไม่เข้าใจ เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราเห็นแต่อาการของใจ ส้ม เปลือกส้มไง เราจับไปมีแต่เปลือกส้ม โดนเปลือกส้มแต่ไม่เคยถึงเนื้อส้ม เราไม่เข้าใจหรอก เราบอกว่ามนุษย์มีกายกับใจ กายกับใจ แต่เราก็ว่ากันไปปากเปียกปากแฉะนะ ฟังเขาเล่านิทาน

นี่ว่ามนุษย์มีกายกับใจ มีสุข มีทุกข์ มีอะไร แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมามันไม่เห็นหรอก มันแยกไม่ออก มันรู้ไม่เป็น เห็นไหม เวลาภาวนาก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไปนี่อาการของใจทั้งนั้น มันเป็นความคิดทั้งนั้น ไม่เข้าถึงตัวใจเลย อาการเกิดดับๆ ก็ความคิดมันเกิดดับ แต่ตัวพลังงานมันมีอยู่ ตัวพลังงาน เห็นไหม ถ้าเข้าไปถึงตัวพลังงาน ตัวสมาธิ สิ่งที่เป็นตัวสมาธิ นี่ไงสิ่งนี้เมล็ดพันธุ์ที่เขาเอามาเพาะ เอามาปลูกกัน เวลามันเติบโตขึ้นมา มันมีราก มีเหง้า มีต้น มีผล

มนุษย์เกิดมาปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ เห็นไหม ถ้าเทียบเป็นวิทยาศาสตร์ นี่คนเราเกิดมาจากไข่ของมารดา เกิดจากสเปิร์มของพ่อกับไข่ของมารดาผสมกัน แต่ไม่มีใครพูดถึงปฏิสนธิวิญญาณ ไม่มีใครพูดถึงปฏิสนธิวิญญาณนะ ดูสิครอบครัวที่เป็นหมันเขาก็มีครบเหมือนกัน แต่เขาเป็นหมันของเขา เขาเกิดไม่ได้ เพราะปฏิสนธิจิตมันไม่มี กรรมมันมาปิดกั้น

เราเกิดมาแล้ว เราเกิดมานี่วันนี้วันพระ วันพระเพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นธรรมวินัย บัญญัติไว้เป็นวันพระ.. วันพระ วันเจ้า วันโกน วันพระเป็นเรื่องของปฏิทิน แต่ถ้าเรื่องของเราขึ้นมา เห็นไหม เรามีการงดเว้น เรามีการทำคุณงามความดีของเรา

นี่ไงเวลาเขาตัดแต่งพันธุกรรมของพืชนะ เราต้องเลือกคัดพันธุ์ที่ดี แล้วมันทนโรค ทนแดดทนฝน นี้เป็นประโยชน์ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทั้งหมดเลย แต่มันก็เป็นดาบสองคม อย่างเช่น จีเอ็มโอ เห็นไหม เขากลัวว่ามนุษย์กินแล้วจะมีโทษกับร่างกายไหม?

นี่ก็เหมือนกัน นี่กรรมดี กรรมชั่ว เราจะตัดแต่งของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราต้องกระเสือกกระสนนะ ทำความดีทวนกระแส ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ มันต้องกระโดดขึ้นไปวางไข่บนต้นน้ำ ปลาตายมันไม่มีจิตวิญญาณมันลอยไป

มนุษย์เราถ้าไปตามโลกเหมือนปลาที่ตายแล้ว มันไปตามกระแส เห็นไหม มันเป็นทุนนิยม มันเป็นโลกาภิวัฒน์ นี่ชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้ มันตายแล้ว ตายจากคุณงามความดีไง ตายจากศีลจากธรรม มันก็ลอยไปกับเขา แต่เวลาเราทวนกระแสไปหาศีลธรรม จริยธรรม เขาว่าคนนี้เป็นคนโง่ คนนี้ไม่ทันโลก

โลกนะ โลกมันพัดไป โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกก็จะพัดชีวิตเราไปตลอดเวลา เราจะทวนกระแสเข้าไปไหม? ถ้าทวนกระแส ปลามันว่ายทวนน้ำเข้าไปวางไข่นะ แต่เราทวนกระแส ทวนกระแสไปที่ไหน? ทวนกระแสความรู้สึกเราไง จิตของเราธรรมะมันอยู่ที่ไหน? ธรรมะน่ะ?

ธรรมะ เห็นไหม ในพระไตรปิฎกนะก็เป็นกิริยาของธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธะ ธรรมและวินัย สิ่งที่เป็นศาสดาของเราที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้มันก็เป็นตำรา

แต่ถ้าเป็นความรู้สึกล่ะ? หัวใจเป็นความสัมผัส เห็นไหม สัมผัสความดี ความชั่ว สัมผัสต่างๆ นี่ธรรมะอยู่ที่นี่ ธรรมะอยู่ที่ใจของคน ธรรมะอยู่ที่ใจของสัตว์โลก ใจของสัตว์โลกมันสัมผัสได้ ความสัมผัสอันนี้เป็นคุณงามความดี สิ่งที่สัมผัสนี่ทวนกระแสเข้าไปที่นี่ ถ้าทวนกระแสเข้าไปที่ในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันสุขมันทุกข์ แต่มันมีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องหมาย เราพยายามทวนกระแสของเราเข้าไป ทวนกระแส เห็นไหม แต่ถ้าเป็นโลก เห็นไหม ดูสิไปวัดไปวาก็ไปทำพิธีกรรมกัน มันก็เป็นเรื่องโลกๆ นะ

ศาสนพิธี.. พิธีกรรมเพื่อเข้าไปหาถึงตัวศาสนา ทีนี้ตัวศาสนาเป็นนามธรรมที่จะเข้าถึงได้ยากมาก ดูสิเวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องตั้งสติ เราต้องมีคำบริกรรม มีคำบริกรรมทำไม? เพราะธรรมชาติ เห็นไหม ทวนกระแส

คำว่า “ทวนกระแส” กระแสนี่มันส่งออกใช่ไหม? ความคิดมันส่งออกใช่ไหม? ทุกอย่างส่งออก คำบริกรรมทวนกระแสเข้าไปปิดกั้นมันไว้ พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่ทวนกระแสเข้าไป ทวนกระแสจากความคิดเข้าไปถึงตัวของใจ นี่กายกับใจ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕.. ธาตุ ๔ เห็นไหม ร่างกายและจิตใจ จิตใจมันก็ยังเป็นอาการของใจอยู่ เป็นอาการของใจอยู่ มันเกิดดับ ความคิดเกิดดับ พอมันเกิดดับนี่มันก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่เหตุที่เกิดดับ มันมีเหตุ มีปัจจัย มีที่มา

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

อุปกิเลส เห็นไหม พออุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส แต่เราไม่รู้จักอุปกิเลส ความผ่องใส ความสว่างไสว ความว่างมันเป็นอุปกิเลสใช่ไหม? มันเป็นกิเลสอย่างละเอียด พลังงานอย่างละเอียด แล้วมันก็ออกมาที่อาการความคิด พอออกมาที่อาการความคิดมันก็เป็นความคิดของเราขึ้นมา เราก็ว่านี่เป็นใจๆ

ไม่ใช่ มันเป็นเงา เห็นไหม ดูร่างกายนี่เวลาเราไปยืนที่แสงมันต้องมีเงาใช่ไหม? นี่อาการของมันแสดงออกมาเราถึงว่านี่เป็นใจๆ ไง ถ้าเป็นอาการของมัน เราไปตะครุบเงาแล้วเราจะได้อะไรล่ะ? เราก็ได้เงาไง สิ่งที่ได้เงา นี่เราศึกษาธรรมะก็ศึกษาโดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณคือความคิด เห็นไหม

ดูสิเราศึกษาทางโลกนี่สุตมยปัญญา นักวิทยาศาสตร์จินตนาการต่างๆ นี่เป็นความคิดทั้งนั้นแหละ เป็นความคิด ไอน์สไตน์ถึงบอกว่าจุดระเบิดเขาอธิบายไม่ได้ จุดระเบิด ปฏิสัมพันธ์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา เขาอธิบายได้ แต่จุดระเบิดเขาอธิบายไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะนี่อาการของใจ อาการของใจคือความคิดไง แต่ความคิดมันเกิดมาจากไหน? มันเกิดจากพลังงาน

นี่ความจุดระเบิด มันต้องเป็นจุดระเบิดที่พลังงานนั้น แล้วพลังงานนั้น นี่ปัจจยาการ อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง นี่ปัจจยาการ.. สิ่งที่เป็นปัจจยาการมันเป็นธรรมชาติไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสมันเป็นปัจจยาการออกมา เห็นไหม อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง ปัจจยาการของมันมันออกไปเป็นพลังงานที่ส่งออก แล้วมีคำบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ เพื่อจะย้อนกลับ เห็นไหม ทวนกระแสนี่ทวนกระแสอย่างนี้!

ทวนกระแสคือทวนกระแสความคิดไง เราตั้งใจของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา นี่คือการทวนกระแส ทวนกระแสเข้าไปสู่ธรรมะ ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส.. ความเศร้าหมอง ความผ่องใสนี่มันพลังงานอันละเอียด แล้วก็ออกมาเป็นพลังงานความคิด ความผ่องใสนี่อุปกิเลส แล้วก็เป็นกิเลส เป็นตัณหาความทะยานอยาก เป็นภพ เป็นชาติ เป็นต่างๆ ออกไป

นี่เขาบอกว่า “ล้างภพ ล้างชาติสิคะ.. ล้างภพ ล้างชาติสิคะ”

นี่มันจะล้างกันที่ไหนล่ะ? มันจะไปเปลี่ยนกันที่ทะเบียนบ้านใช่ไหม? เราสัญชาติไทย เราจะไปโอนสัญชาติเป็นชาติอื่น เปลี่ยนชาติกันอย่างนั้นหรือ? ภพชาติเปลี่ยนกันที่นั่นหรือ? ภพชาตินี่ภวาสวะ ตัวภพ ตัวพลังงาน ตัวฐานที่ตั้งของใจมันอยู่ที่ไหน?

แล้วนี่ว่าจะภาวนากัน จะภาวนากัน ภาวนาก็ตะครุบเงากัน ตื่นไปกับกระแสโลก เอาโลกเป็นใหญ่ไง ไม่ใช่ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นใหญ่ต้องธรรมวินัยเป็นใหญ่ ธรรมเป็นใหญ่ไม่ใช่โลกเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่นี่เราต้องเกรงใจเขาไปหมดเลย กิริยามรรยาทเรียบร้อย สังคมความดีงาม.. นี่สังคมพร่องอยู่เป็นนิจ โลกพร่องอยู่เป็นนิจ มันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา

ดูสิทางธุรกิจมีขาขึ้นและขาลง ไม่มีอะไรขึ้นแล้วไม่มีวันลงหรอก โลกเจริญแล้วเสื่อมเป็นธรรมดา พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้าเพราะอะไร? เพราะว่าสมณโคดมของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บอกว่า ๕,๐๐๐ ปี เขาเชื่อกันไหม? ถ้าเชื่อกัน เขาเชื่ออะไร?

ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่ออันนี้มีคุณค่า นี่ความรู้สึกมีคุณค่ามาก มีความเชื่อ มีศรัทธา มันก็แสวงหา มันก็ค้นคว้า ค้นคว้ามันก็มีความประพฤติปฏิบัติ มีการเทียบเคียง นี่เพราะมีความเชื่อมีความศรัทธาขึ้นมา ถ้าไม่มีความเชื่อไม่มีความศรัทธา เห็นไหม นี่เรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกมันจะมีคุณค่ามาก แต่เราไปเห็นความรู้สึกอันนี้มันจะเกิดอย่างนั้น

นี่ศีลธรรม จริยธรรม ธรรมะภิบาล นี่ก็ว่ากันไป ธรรมะภิบาลของใครล่ะ? ถ้าหัวหน้ามันเป็นคนโกง มันก็ธรรมะภิบาลของโกง หัวหน้านี่นะคนบัญญัติศัพท์ บัญญัติกติกาขึ้นมา บัญญัติกติกาเพื่อกูนี่แหละ

นี่สิ่งนี้มันมีกำลังขึ้นมา แต่ก็พูดกันไป เห็นไหม แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เป็นธรรมนี่เราชนะตัวเราเองแล้วจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เรามีความสุขของเรา ความสุขมันอยู่อันนี้เป็นความจริง แล้วยิ่งภาวนาขึ้นไป ใครภาวนาเป็นนะ มันเป็นสิ่งที่ว่าธรรมะเหนือโลก มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่คาดหมายไม่ได้

เรานี่จินตนาการนรก สวรรค์กันได้ เราจินตนาการวัฏฏะได้ เพราะจิตนี้มันเคยเกิดเคยตาย มันมีข้อมูลในใจ แต่จิตของเราไม่เคยเข้าถึงโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี แล้วเวลาพูดไปมันเหมือนกับสิ่งที่สุดวิสัย สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ พอคาดการณ์ไม่ได้เราก็คาดการณ์กันว่าว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ เป็นนิพพาน

อวกาศก็เป็นนิพพาน ในตุ่มในไหก็เป็นนิพพาน ในตุ่มในไหมันเป็นอากาศว่างๆ มันเป็นนิพพานไหมล่ะ? มันไม่เป็นนิพพานเพราะอะไร? เพราะมันไม่กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิคือผู้รู้ว่าว่าง ผู้รู้สรรพสิ่งต่างๆ ภวาสวะ ภพชาติที่ไปรับรู้เขา ที่ไปแบกรับเขา ที่ทำดีทำชั่วตกผลึกในใจ แล้วมันเป็นผลของกรรม เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

ในเมื่อมันตกผลึกที่ใจ ปฏิสนธิวิญญาณตัวนี้มันต้องไปเกิดไปตายในวัฏฏะ มันก็เวียนไปตามแต่บุญแต่กรรมที่สร้างมา มันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของกรรมที่เวียนไป แล้วเรากลับมารื้อภพรื้อชาติ มันต้องรื้อภพรื้อชาติที่นี่ ถ้าเรารื้อภพรื้อชาติที่นี่ คำบริกรรมถึงมีความสำคัญไง

เพราะคำบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าจิตสงบเข้าไปถึงพลังงานตัวนั้น ไปถึงพลังงาน นี่ไงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสไปถึงตัวพลังงาน ไปแก้กันที่นั่น ไอ้นี่กำหนดนามรูปกำหนดกันที่เงา กำหนดกันที่ปฏิกิริยาของมัน แล้วก็ไปดูผลปฏิกิริยาของมัน แต่ไม่รู้ว่าเริ่มต้นการกระทบ สสารที่ทำให้เกิดการปฏิกิริยาอันนี้คืออะไร เห็นแต่ปฏิกิริยาอันนี้ แต่ไม่เห็นที่มาของปฏิกิริยาไง

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันสงบเข้าไป มันมีความเห็นของมัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติว่าไม่เห็นมีความจำเป็น พลังงานนี่เป็นสมาธิ เป็นความสงบ พลังงานนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์ ทุนมีประโยชน์ไหม? คนทำทุกอย่างต้องมีทุน คนเกิดมาต้องมีปฏิสนธิวิญญาณถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าคนตายแล้วมีแต่ซากศพ ทำอะไรไม่ได้หรอก ซากศพมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เห็นไหม ผลของชีวิต เวลามันเจริญเติบโตขึ้นมาจากไข่ จากการเจริญเติบโตในครรภ์ แล้วคลอดออกมาเป็นเด็กผิวอ่อนๆ แล้วก็ต้องชราภาพไป ผิวหย่อนยานไป แล้วมันก็ทิ้งสิ่งนี้ไว้ เพราะสิ่งนี้เป็นธาตุ เป็นวัตถุ แต่นามธรรมล่ะ? นามธรรมที่มันตกผลึกที่คุณงามความดีและชั่วมันอยู่ที่ไหน? ความตกผลึกของใจมันอยู่ที่ไหน? แล้วธรรมะนี่ไปแก้ตรงนี้ไง ไปแก้ความตกผลึกอันนี้ พอแก้ความตกผลึกอันนี้พลังงานมันสะอาด เห็นไหม นิพพานมีความสุขอย่างยิ่ง

ความสุขนี้ไม่ใช่สุขเวทนา ทุกขเวทนา ไม่ใช่อุเบกขาเวทนา สุขเวทนามันกระทบ เห็นไหม สุขเวทนาก็มีพลังงาน ตัวตกผลึกนั้นล่ะ แล้วตัวความพอใจกระทบกัน อู๋ย.. พอใจ อู๋ย.. สุข อู๋ย.. นิพพาน นี่นิพพานของโลก นิพพานดิบๆ มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม นี่วันพระประเสริฐ ประเสริฐที่นี่ ประเสริฐคือหัวใจของเรา คือทัศนคติ คือมุมมอง คือสิ่งที่เราแสวงหา นี่ประเสริฐที่นี่

เราแสวงหาบุญกุศล เราเสียสละออกไป โลกเขาบอกว่าเราเสียวัตถุออกไป แต่เราได้คุณธรรมมา เราได้หัวใจมา เราได้ตัดแต่งพันธุกรรมของใจให้มันรู้จักเสียสละ ให้มันมีคุณงามความดี ให้มีจุดยืนของมัน เห็นไหม นี่คือสมบัติของเรา มันอยู่กับใจของเรา แล้วมันจะเป็นจะตายไปกับเรา เพราะจิตนี้มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปกับเรา เป็นสมบัติของเรา แต่สมบัติที่เป็นวัตถุมันตกอยู่ที่โลกนี่ คนดีใช้มันจะเป็นประโยชน์

ถ้าคนดีใช้ เห็นไหม ดูสิเขาตั้งโรงทาน เขาเสียสละ นี่คนดี มันเป็นวัตถุที่คนดี คนที่มีศีลธรรมจริยธรรมใช้เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อพัฒนาใจ อย่างพระโพธิสัตว์เสียสละๆ เพื่อตัดแต่งพันธุกรรม แต่อาศัยวัตถุนั้นเป็นเครื่องแสดงออก เป็นเครื่องเสียสละ แต่เวลาหัวใจของเราขึ้นมา อริยทรัพย์จากภายใน สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา อันนี้มันเป็นสมบัติของเรานะ เราถึงแสวงหาไง เราแสวงหา เราทำของเรา เรามีการกระทำของเรา เราจะเสียสละวัตถุนั้น เพื่อตัดแต่งพันธุกรรมของใจนี้

คนชั่ว เห็นไหม คนชั่วเขาได้สมบัติอันนั้นมา เขายิ่งหาผลประโยชน์ของเขา เขาเอาสมบัติพัสถานนั้นจ้างให้คนทำเพื่อผลประโยชน์ของเขา นี่มันได้แต่วัตถุนั้นเพิ่มขึ้นมา แต่พันธุกรรมโดนตัดแต่งด้วยความเศร้าหมอง เพราะความลับไม่มีในโลก ตัวเองเป็นคนทำ ตัวเองเป็นคนวางแผน ตัวเองเป็นคนสั่ง เป็นคนบัญชาการ มันก็ตกผลึกลงที่ใจหมด เห็นไหม แล้วมันก็ตกนรกอเวจีไป

สมบัติถ้าคนดี คนที่ใจใช้เป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าคนชั่วมันใช้ สมบัตินั้นมันทำร้ายเรา ทำร้ายใจดวงนั้น ทำร้ายใจดวงนั้น ตัดแต่งพันธุกรรมให้ใจดวงนั้นมันบิดเบี้ยว ให้พันธุกรรมอันนั้นมันเสียหายไป นี่มันอยู่ที่สตินะ อยู่ที่ศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม อยู่ที่ปัญญา อยู่ที่ศรัทธาความเชื่อของเรา แล้วเราเกิดมาชาตินี้ทำไมเราทุกข์อย่างนี้ล่ะ?

ทุกข์ขนาดไหนนะ มันไม่มีคุณค่าเท่ากับชีวิตเราหรอก เพราะชีวิตเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เราถึงเห็นสุขเห็นทุกข์ ถ้าเห็นสุขเห็นทุกข์ ทุกข์สุขนี่มันบีบคั้นใจเรา ถ้าบีบคั้นใจเรา เราตั้งสติแล้วแก้ไขไป เพราะมนุษย์นี่เกิดมาแล้วหูตาสว่าง มีหู มีตา คนตาบอดไม่รู้จักอะไรเลย เราเกิดมามีหูมีตาไหม? เราเห็นปัญหาไหม? เราแก้ไขปัญหาได้ไหม? เราจะมีสติสัมปชัญญะแก้มันไหม?

ถ้าแก้มัน นี่ไงมนุษย์ไง ชีวิตไง ชีวิตเกิดมาแล้วมันมีประโยชน์ตรงนี้ เราถึงบอกว่าชีวิตนี้สำคัญกว่าสุขทุกข์ที่เราเห็นกันอยู่นั้น สุขทุกข์ที่เราเห็น เราสัมผัสนั้นมันเป็นผลบุญผลกรรม แล้วเราทำของเราไป ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว.. ดูสิเวลาพระนั่งภาวนาตลอดรุ่ง เห็นไหม นั่งมา ๔-๕ ชั่วโมงมันเจ็บปวดไหม? แล้วมันทุกข์ไหม? แล้วทำไมไม่ลุกหนีมันล่ะ?

ถ้าเป็นประสาเราว่าทุกข์ก็ลุกขึ้นสิ มันก็จบไง นั่งแล้วเจ็บปวด ลุกก็หาย แต่ทำไมเราต่อสู้มันล่ะ? ต่อสู้มันเพราะทุกขเวทนา เห็นไหม นี่มันเป็นเปลือกใช่ไหม? เราจะดูว่าทุกข์นี้มีเพราะมีเรา ทุกข์นี้มีเพราะมีจิต จิตมันรับรู้ ถ้ามันเข้าไปถึงตัวจิต แล้วจิตมันปล่อยมันจะเป็นอย่างไร? มันเป็นได้หมดแหละ เพียงแต่ขณะทุกข์นี่ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เวลาเรานั่งอยู่มันก็ทุกข์ ชีวิตประจำวันเรา ทุกข์สุขอย่างนี้เรามีสติสัมปชัญญะแล้วสู้มัน สู้มันคือว่าต้องแก้ไขไง

คำว่าสู้มันคือสู้แล้วหาเหตุหาผลแก้ไขมัน นี่สติต้องมีพร้อม แล้วต่อสู้เผชิญกับชีวิต เผชิญกับชีวิต นี่สู้กับชีวิตไป แล้วเราจะรู้ว่าทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นิโรธะด้วยมรรค.. ทุกข์นี่ชีวิตเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่เราคิดแต่ว่าเราแสวงหาอยากได้แต่บุญกุศล อยากได้แต่ความสุข ถ้าเราทำมาเป็นวาระนะ..

ทุกข์ดับไปมันก็เป็นความสุข ทุกข์ดับไปมันก็เป็นความพอใจ ความปล่อยทุกข์ ปล่อยปั๊บ โฮ้! มันมีความสุขเกิดขึ้นมาแล้ว นี่ถ้าเรามีชีวิต แล้วนี่ธรรมะเกิดอย่างนี้ไง ธรรมะเกิดมันได้เห็น มันได้รู้ มันได้จัดการ มันได้มีการกระทำเอง เห็นไหม นี่สันทิฏฐิโก มันเป็นความสัมผัสของใจ ใจมันสัมผัส ใจมันรู้ มันมีความมหัศจรรย์ มีความตื่นเต้น ถึงกราบพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจไง

โอ้โฮ.. พระพุทธเจ้าสละราชสมบัติมาเลย แล้วปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คุณธรรมอันนี้ วิมุตติสุขมันสุขแค่ไหน? แล้วเราก็มีหัวใจ เราก็มีทุกอย่างพร้อม เราก็เกิดมาเป็นชาวพุทธ เราพบพุทธศาสนาแล้วเรามีครูมีอาจารย์ เรามีสถานที่ประพฤติปฏิบัติ หมู่คณะนี่คบบัณฑิตไม่คบพาล เห็นไหม พาลนอก พาลใน เราคบบัณฑิตแล้วจะเอาเราให้รอด นี่พระผู้ประเสริฐคือหัวใจของเรา เอวัง